การเลือกผ้าม่าน
หลักง่ายๆไม่ว่าจะเป็นผ้าทอลาย หรือผ้าพื้นสี สิ่งสำคัญต้องดูว่าห้องนั้นสีอะไร บรรยากาศโดยรวมออกโทนสีอะไร ให้เราเลือกผ้าม่านสีโทนเดียวกับห้อง จะดีที่สุด ถ้าผนังสีขาว ก็ต้องดูว่าเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งห้องมีสีอะไรบ้าง ก็ให้เราเลือกโทนไกล้เคียง อาจอ่อนหรือเข้มกว่าบ้างนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับสีเฟอร์นิเจอร์เป็นหลัก ต้องลองเทียบสี วิธีการคือนำตัวอย่างผ้าม่านมาวางไกล้ๆ กับเฟอร์นิเจอร์เปรียบเทียบดูว่าสีไหนกลมกลืนที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นโทนเดียวกันอาจตัดกันก็ได้ แต่ดูแล้วต้องไปกันได้ กรณีเลือกผ้าม่านก่อนเฟอร์นิเจอร์ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเราจะสั่งเฟอร์นิเจอร์สีอะไรก็ควรเลือกผ้าม่านสีที่เป็นกลางๆ สามารถเข้ากับสีอื่นได้หลายๆสี เช่น สีเบจ สีครีม น้ำตาลอ่อน วนิลา ออฟไวท์ เพราะเมื่อนำเฟอร์นิเจอร์เข้ามาภายหลังจะได้ไม่ขัดกันเนื่องจากสีเหล่านี้สามารถเข้ากับสีอะไรก็ได้ แต่ทางที่ดีเราควรมีการวางแผนล่วงหน้า หรือคิดไว้ในใจก่อนจะเป็นดี เพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ควรหลีกเลี่ยงผ้าม่านที่มีลาย โดยเฉพาะลายใหญ่ ดอกใหญ่ จริงอยู่ลายในเนื้อผ้าม่าน ขณะดูที่ตัวอย่างอาจเห็นว่าสวยดี นั้นคือภาพที่เรามองขณะที่เป็นผ้าชิ้นเล็ก อย่าลืมว่าผ้าม่านที่เราใช้จริงจะชิ้นใหญ่กว่าตัวอย่างมาก ต้องนึกถึงเมื่อติดตั้งแล้วเสร็จว่าจะเป็นอย่างไร ที่จริงความสวยงามของผ้าม่านขึ้นอยู่กับสีและรูปแบบที่เราเลือกใช้มากกว่า เช่นเลือก แบบม่านหลุยส์,ม่านพับ,ม่านตาไก่,กระเช้า เหล่านี้ความสวยงามของลายผ้าไม่เท่ากับความสวยงามของแบบรูปแบบ และไม่ได้ขึ้นอยูกับลายผ้าเสมอไปเพราะถ้าเราใช้ผ้าลายใหญ่ ยิ่งสีเข้มด้วยแล้ว สิ่งที่ตามมาเมื่อติดตั้งเสร็จ อาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายตา ไม่สบายอารมย์ ลายบางลายมองบ่อยๆ อาจทำให้เวียนหัวเลยก็เป็นได้ เพราะตอนที่ดูตัวอย่างก็มองว่าสวยดี แต่พอมองภาพรวมแล้วไม่ใช่ ต้องไม่ลืมว่าผ้าม่านจำเป็นต้องทำจีบหรือต้องใช้ผ้าสองเท่าของหน้าต่างหรือประตูนั้นหมายความว่าลายของผ้าที่เราเลือกก็จะแน่นคูณสองโดยทันที ถ้าเป็นผ้าม่านลายใหญ่หรือลายดอกที่ว่าแล้วความหนาแน่นของลายผ้าจะเพิ่มขึ้นอาจทำให้ลายตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเลือกผ้าม่าน ให้เหมาะกับห้องต่างๆ
ห้องรับแขก : ห้องรับแขกเป็นห้องที่ใช้งานบ่อยสำหรับทุกคนในบ้าน และเป็นห้องที่ต้องใช้ต้อนรับแขกหรือผู้มาติดต่อเยี่ยมเยือน การตกแต่งที่สวยงามลงตัว ยังเป็นการบ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าบ้านในการมีแนวคิดตกแต่ง ก็คงต้องเน้นให้มากเป็นพิเศษ เราสามารถเลือกผ้าม่านที่มีลายบ้างได้ และสีของผ้าม่านก็อาจเข้มขึ้นมาตามบรรยากาศ ดล้อมเช่นถ้าห้องที่กว้างและสูงโปร่ง มีการจัดวางเฟอร์เจอร์ไม่แน่นมาก ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้ผ้าม่านที่มีโทนสีเข้มหรือแบบที่มีลาย แต่ถ้าห้องแคบโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวหลังเล็ก หรือเทาว์เฮาส์ ก็ต้องดูที่ความเหมาะสม ลองจินนาการตอนที่ผ้าม่าน
นอกจากการเลือกใช้โทนสีที่เหมาะสมแล้ว สำหรับผ้าม่านหัองรับแขก เราก็อาจตกแต่งเพิ่มลายละเอียด ให้ดูสวยงาม มีสีสัน เด่น สดุดตา โดยการเติมลูกเล่นให้กับผ้าม่าน อาจเพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งเช่น ตะขอและสายรวบม่านที่มีให้เลือกในรูปแบบต่างๆ ภู่ ระบาย ชายครุยเกรียวเชือก หรือการตัดสีของผ้าที่เรียกว่าทูโทน ซึ่งตรงนี้อาจต้องสรรหารูปแบบหรือตัวอย่างจากแหล่งที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นตัวช่วยแนวคิดอีกทางเพื่อให้ได้ม่านที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด เมื่อได้ผ้าม่านทึบนอกจากรูปแบบและสีผ้าม่านที่พอใจแล้ว จะให้ดีให้สวย ควรมีผ้าโปร่ง เพื่อให้ได้บรรยากาศของความนุ่มนวล สวยงาม เพิ่มบรรยากาศให้น่าอยู่ ความสำคัญอีกอย่างของม่านโปร่ง คือช่วยบังสายตาจากคนภายนอก ในขณะที่เราเปิดม่านทึบเพื่อรับแสงกลางวัน ผ้าโปร่งที่ใช้ควรเป็นสีขาวหรือออฟไวท์ เพราะถ้าใช้สีเข้มหรือสีเดียวกับตัวผ้าม่านจะดูไม่เหมาะ (สีออฟไวท์จะช่วยลดแสงทำให้เกิดความนุ่มนวลสบายตา ให้นึกสีของหลอดไฟ ระหว่างเดย์ไลท์ กับวอมไวท์)
ห้องนอน : ห้องนอนก็เป็นอีกห้องที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะผ้าม่านห้องนอนนอกจากการกันแสง ปิดบังสายตา รักษาความเป็นส่วนตัว ความสำคัญอีกอย่าง ผ้าม่านยังช่วยเสริมสร้างทำให้บรรยากาศโรแมนติก ทำให้คืนพักผ่อนมีคุณภาพ ปราศจากความวุ่นวายจากโลกภายนอก หลังจากที่เหน็จเหนื่อยจากการทำงาน เราต้องใช้ห้องนอนเพื่อการฟื้นพลังที่ศูนย์เสียจากการทำงาน และต้องเตรียมตัวต่อสู่กับการทำงานในวันต่อไป ห้องนอนที่สวยงาม การตกแต่งที่ลงตัวมีส่วนช่วยทำให้การผักผ่อนมีคุณภาพมากขึ้น การเลือกผ้าม่านสำหรับห้องนอน ซึ่งเป็นห้องส่วนตัว สามารถเลือกสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแบบผ้าม่านหรือเลือกสี ให้เลือกสีที่เราชอบเป็นอันดับแรก สีที่ถูกโฉลกกับเรา ด้วยห้องนอนถือเป็นห้องส่วนตัว สามารถสร้างความเป็นตัวและแสดงความเป็นตัวตนของเราได้อย่างเต็มที่ สามารถแต่งเติม เสริมบรรยากาศตามจินนาการของเรา โทนสีหรือรูปแบบไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่ที่ความชอบ ชอบแบบไหนทำแบบนั้น อย่างที่เรียกว่าไลฟ์สไตล์ แต่ควรเป็นแนวสีที่ดู สดชื่น สดใส น่าสนใจ และผ่อนคลาย ไม่ควรใช้สีเข้มมากนัก สีทีควรใช้คือ สีเบจ ชมพู โอโรส ฟ้า ขาว น้ำตาลอ่อน หรือเหลืองอ่อนๆ และควรคำนึกถึงสิ่งแวดล้อม เฟอร์นิเจอร์ ผนังห้องหรือส่วนประกอบอย่างอื่น เช่น ชุดเครื่องนอน ผ้าคลุมต่างๆ และที่สำคัญถ้าให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น ควรใช้ผ้ากันแสงอีกชั้นหนึ่งที่เรียกว่า แบล๊กเอาท์ใช้กันแสงและสะท้อนความร้อนที่เข้ามารบกวนขณะพักผ่อน หรือไม่ใช้ม่านพับ หรือ ม่านม้วน ก็สามารถกันแสงก็ได้เช่นกัน วัสดุบางตัวสามารถกันแสงได้ถึง 100 % และม่านทั้งสองอย่างนี้ สามารถซ่อนเข้าไปภายในผ้าม่านหลัก ได้โดยไม่กินพื้นที่ เปิดปิดได้ง่าย สะดวกในการใช้งาน
ห้องนั่งเล่น : อาจใช้สีโทนสดใส เช่น วนิลา ฟ้า โอโรส ก็ได้ แต่ต้องดู้ความเหมาะสมด้วยว่า ถ้าใช้สีต่างกันกับห้องอื่นมาก เมื่อมองดูจากภายนอกบ้านอาจดูไม่เหมาะเนื่องจากความแตกต่างสีผ้าม่าน อาจเป็นสาเหตุทำให้ภาพรวมของบ้าน เมื่อมองจากภายนอกความสวยงามของบ้านอาจลดลง เพราะผ้าม่านนอกจากโชว์ภายในแล้วเมื่อมองจากภายนอกก็ต้องดูดีเข้ากันและไปกันได้ด้วย แต่ถ้าจะใช้สีต่างกันก็ต้องดูว่าห้องนั้นอยู่ส่วนไหนของบ้าน ถ้ามองไม่เห็นจากหน้าบ้าน ก็ไม่น่ามีปัญหา สามารถทำได้เช่นกัน
ห้องรับประทานอาหาร : สามารถใช้สีที่สดได้ เช่นสีส้ม สีเขียว สีเหลือง หรือสีที่เราชอบ แต่อย่างไรก็ควรให้เข้ากับสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ หรืออย่างน้อยให้ออกโทนใกล้เคียงกันกับภายในห้อง เพื่อไม่ให้ผ้าม่านฉีกออกมามากนัก การใช้สีสดในห้องอาหารโดยเฉพาะสีส้ม สามารถดึงดูดความสนใจ เป็นการกระตุ้นอารมย์ ทำให้เราเพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร
ห้องครัว : ควรทำเป็นม่านโปร่ง หรือผ้าโปร่งแสง ด้วยห้องครัวเป็นหัองที่ต้องการแสงสว่างและความปลอดโปร่ง อีกทั้งเพื่อการระบายอากาศที่ดี รูปแบบควรใช้เป็นผ้าม่านโปร่ง รางแป๊บกลมเล็ก ติดตั้งเปิดบังส่วนที่จำเป็น อาจทำแค่ครึ่งหน้าต่างลงมา แต่ต้องไม่ไกล้ความร้อนจากเตา ไม่ควรใช้มู่ลี่ทั้งไม้และอลูมิเนียม เพราะว่าเมื่อมีไอระเหยจากการปรุงอาหาร โดยเฉพาะไอน้ำมัน จะจับและสะสม จะยากต่อการทำความสะอาด แนะนำให้เลือกผ้าม่านโปร่งรางแป๊ป เพราะผ้าม่านโปรงรางแป๊บ สามารถถอดทำความสะอาดได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า ไม่ยุ่งยาก ปิดบังสายตาได้ อากาศถ่ายเทได้ดี
อย่างไรก็ตาม การเลือกผ้าม่าน ดังทีกล่าวไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวเสมอไป ขึ้นอยู่กับยุคสมัย ขึ้นอยู่กับความพอใจ สิ่งที่สำคัญคือการระวังเรื่องการใช้สีเท่านั้น การใช้สีเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ เพราะสีมีอิทธิพลต่ออารมย์และความรู้สึก ซึ่งสามารถเปลี่ยนอารมย์มนุยษ์ได้ ข้อคิดและวิธีการเลือกผ้าม่านนี้เป็นการให้ ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น เป็นการแนะนำอย่างเป็นกลางๆ การใช้สีเข้ม หรือใช้ผ้าม่านลายใหญ่ สามารถทำได้ แต่ในการตัดสินใจเราอาจต้องปรึกษาผู้รู้ หรือปรึกษานักออกแบบที่มีความชำนาญ เพื่อให้ได้ผ้าม่านตามที่เราใฝ่ฝัน ให้คุ้มค่ากับปัจจัยที่เราต้องเสียไป
การเลือกผ้าม่าน สำหรับลดอาการภูมิแพ้
หลายๆ คนคงจะทราบแล้วว่า หากเป็นภูมิแพ้แล้วหล่ะก็ อะไรที่เป็นขนๆ อมฝุ่นทั้งหลาย คงต้องหลีกให้ไกล เพื่อไม่ให้เกิดการกระตุ้นอาการภูมิแพ้ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการเลือกของตกแต่งห้อง ทั้งเตียง หมอน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ พอหันไปมองหน้าต่าง แล้วก็เกิดอาการสงสัย เอ๊ะ! แล้วฉันจะใช้อะไรมาตกแต่งหน้าต่างของชั้นดีผ้าม่านแบบไหนนะที่จะช่วยลดอาการภูมิแพ้ของฉันได้ไม่ ยากเลยค่ะ หากเพื่อนๆเป็นภูมิแพ้ หรือมีเด็กๆอยู่ในบ้าน แล้วต้องการป้องกันเขาจากฝุ่นต่างๆ ผ้าม่านมีรูปแบบที่หลากหลายให้เราเลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเรา “ผ้าม่านที่ไม่เก็บฝุ่น หรือเก็บแต่น้อยมาก และทำความสะอาดได้ง่าย” ดังนั้น ม่านแบบที่ควรใช้คือ
ม่านมู่ลี่ (Blind) และ ม่านปรับแสง (Vertical Blind) : ไม่ ว่าจะเป็นม่านมู่ลี่ไม้ หรือ ม่านมู่ลี่อลูมิเนียมก็ได้ไม่มีปัญหา ทั้งสองแบบต่างก็สามารถทำความสะอาดได้ง่าย แถมยังสามารถปรับระดับของแสงที่ต้องการได้อีกด้วย ม่านมู่ลี่ไม้ นั้นจะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ดูดีและภูมิฐาน ส่วนม่านมู่ลี่อลูมิเนียมนั้น จะดูทันสมัย เรียบ เฉียบ สามารถให้สีสันที่สดใส เข้มได้เท่าที่เราต้องการ ดูแวววาว และราคาไม่แพงอีกด้วยม่านม้วน (Roller Blind) : ได้ โดยเลือกใช้ตัวม่านเป็นพีวีซี ทำให้เช็ดล้างทำความสะอาดได้ ซึ่งสามารถเลือกความสามารถในการผ่านของแสงได้ 3 ระดับคือ Sunscreen / Dimout / Blackout ม่านม้วนแบบนี้้เน้นที่ความเรียบแต่หรูและดูดี เหมาะสำหรับทุกห้องภายในบ้าน แม้แต่ห้องน้ำ เพราะไม่มีปัญหาเรื่องความชื้นและกลิ่น และสำหรับคนที่ยังชอบผ้าม่านที่เป็นแบบผ้าพลิ้วๆนั้น ก็ยังสามารถใช้ผ้าม่านแบบนั้นได้ เพียงแต่ต้องเลือกผ้าที่มีลักษณะเรียบ ผิวลื่น มันวาว ดูแล้วหรูหราอยู่ในที ขึ้นอยู่กับสีที่เราเลือก จะสามารถสื่อได้หลากหลายอารมณ์ เข้ากับห้องได้ทุกรูปแบบคะ